ข้อเท็จจริงของข้อคิดเห็น ข้อคิดเห็นของข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็นของข้อคิดเห็น และข้อเท็จจริงของข้อเท็จจริง
ในบทความเมื่อก่อนพวกเราเคยพาทุกคนมาทำความเข้าใจเรื่องข้อสรุป แล้วก็ความคิดเห็น (Objectivity แล้วก็ Subjectivity) ในบทความอ่อน ฝึกแยกความจริง แล้วก็ความคิดเห็น เพื่อสร้างคอนเทนต์ที่ดี ซึ่งพวกเราก็สรุปเอาไว้ว่า ในที่สุดแล้วสำหรับนักเขียนกระบวนการทำคอนเทนต์ที่ดีนั้น ไม่ใช่ว่าห้ามใส่ข้อความคิดเห็นหรือความรู้สึกลงไป สิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือการผลิตคอนเทนต์ที่ช่วยทำให้นักอ่าน ผู้ชม สามารถแยกได้อย่างเห็นได้ชัดว่าอะไรเป็นความเป็นจริง อะไรเป็นความเห็น และก็ความเห็นนั้นจำต้องมาจากเรื่องจริงที่ถูกด้วย
แต่ว่าจากความปั่นป่วนปัจจุบันนี้ พวกเราบางทีก็อาจจะงงเต็กๆกับสิ่งที่พวกเราพบเจอกันบน Social Media ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีความสลับซับซ้อนมากยิ่งกว่านั้น รวมทั้งการบอกว่าข้อสรุปหรือความคิดเห็นก็บางครั้งอาจจะมิได้ช่วยทำให้พวกเราสามารถทำความเข้าใจการปรากฏที่เกิดขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น
สมมุติว่า นาย A กล่าวว่า “ผมถูกใจรับประทานข้าว” แล้วปรากฏว่า นาย B เอาไปบอกว่ากล่าว นาย A ถูกใจรับประทานข้าว สรุปแล้ว Statement นี้เป็นข้อสรุป (Objectivity) หรือความเห็น (Subjectivity) กันแน่ ถ้าเกิดนาย A เกลียดชังรับประทานข้าวแล้ว มาถูกใจรับประทานก๊วยเตี๋ยวแทน แม้กระนั้นนาย A ยังกล่าวอยู่ว่า นาย A ถูกใจรับประทานข้าว แล้วนาย B กล่าวใช่หรือเท็จ ?
พวกเราจะมองเห็น Pradox แปลกๆนี้สำหรับการติดต่อในชีวิตประจำวันเยอะแยะอยู่ ด้วยเหตุนี้จริงๆการมองว่า ข้อสรุปหรือความเห็นบางทีก็อาจจะเกิดเรื่องที่งงงวยๆน้อย พวกเราเลยเพียรพยายามใช้คำว่า อัตวิสัย แทน Subjectivity รวมทั้ง ภววิสัย Objectivity มากยิ่งกว่า เนื่องจากอัตแสดงว่าตนเอง ส่วนภวก็เป็นภาวการณ์เป็นสิ่งที่มันเป็นอยู่ แม้กระนั้นอย่างไรก็ดี การใช้คำว่าเรื่องจริงรวมทั้งความเห็นก็เลี่ยงมิได้เนื่องจากเป็นคำที่ใช้กันในวงกว้าง
แล้วมีอะไรที่ทำให้พวกเรารู้เรื่องแล้วก็มองดูภาพของเรื่องจริงแล้วก็ความเห็นได้เด็ดขึ้น
จากกรณีของนาย A และก็นาย B ทำให้พวกเราพูดว่า การนาย A ถูกใจรับประทานข้าว แล้วนาย B นำไปบอกว่ากล่าวนาย A ถูกใจรับประทานข้าว เป็นสิ่งที่ “เสี่ยง” และไม่เป็นสัจจนิรันดร์ ดีไม่ดีไม่เป็นภววิสัยด้วย แต่ว่าสิ่งนาย B ควรจะทำก็คือการพูดว่า “นาย A บอกผมว่าเขาถูกใจรับประทานข้าว ขณะที่พวกเราคุยกันช่วงวันที่ 1 เดือนมิถุนายน” ประโยคนี้จะแปลงเป็นภววิสัยหรือ Objectivity แล้ว ด้วยเหตุว่าแม้กระทั่งนาย A เกลียดทานข้าวแล้ว แต่ว่านาย A ก็ไม่สามารถที่จะไปถอนคำพูดในอดีตกาลได้
และก็ด้วยแนวทางคิดอย่างนี้ส่งผลให้เกิด Paradox สนุกสนานๆดังเช่น
ความจริง ของ เรื่องจริง
ความเห็น ของ ความเห็น
ความจริง ของ ความเห็น
ความคิดเห็น ของ ความจริง
ฟังอย่างนี้บางทีก็อาจจะงงงันๆมาทดลองเบาๆไล่มองครั้งละตัวกัน เรื่องจริงของความเห็น (fact of fact) อันนี้ออกแนววิทยาศาสตร์หน่อยๆอย่างเช่น โลกหมุนรอบตนเอง โดยเหตุนี้พวกเราก็เลยมองเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกแล้วก็ตกทางทิศตะวันตก อันนี้จะเป็น fact แน่นอนเนื่องจากว่าถูกตามหลักตรรกวิทยา มีเหตุมีผลรับรองได้
ความเห็นของความคิดเห็น (opinion of opionion) อันนี้ก็ได้แก่ นาย A พูดว่าถูกใจสีแดง แล้วนาย B มาบอกว่า นาย A โง่มากที่ถูกใจสีแดง นาย A ไม่เหมาะสมที่จะถูกใจสีแดงเลย อันนี้ก็คือเป็นการเอาความคิดเห็นของบุคคลอื่นมาแสดงความเห็นอีกครั้ง ซึ่งจริงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีเสมอ จะเป็นการดีๆก็ได้เป็นต้นว่า นาง C พูดว่าถูกใจรับประทานสตาร์บั๊ค นาง D ก็เลยพูดว่านาง C ถูกใจรับประทานสตาร์บั๊คดีจังเลย คุณถูกใจนาง C
ข้อสรุปของความเห็น (fact of opinion) หรือ ภววิสัยของอัตวิสัย เป็นการที่มีความเห็นบางสิ่งเกิดขึ้น แล้วพวกเราเอาคุณลักษณะของความคิดเห็นนั้นมากล่าว ในกรณีที่ชูไปและเป็นการที่ นาย A บอกว่า “ผมถูกใจรับประทานข้าว” แล้วนาย B ถ้าเกิดจะให้รัดกุมก็จะต้องพูดว่า นาย A บอกผมว่าเขาถูกใจรับประทานข้าว ในเวลาที่พวกเราคุยกันตอนวันที่ 1 เดือนมิถุนายน หรือจะเป็นการเอา opinion มาวัดด้วย metric อะไรบางอย่างด้วยค่าเชิงสัมพัทธ์ (relativity) เป็นการเอาไปเทียบกับอันอื่น อาทิเช่น วิชัยเขียน Blog ว่าเขารังเกียจ iPhone อย่างกับที่สมพรเขียน Blog ว่าเขาก็เกลียด iPhone เช่นเดียวกัน
ความคิดเห็น ของ ข้อสรุป (opinion of fact) อันนี้ทั่วๆไปมากมายๆก็คืออย่างเช่น โลกหมุนรอบดวงตะวันแม้กระนั้นฉันรังเกียจเลย หรืออุณหภูมิ 20 องศาแล้วฉันรู้สึกหนาว ฯลฯ สรุปก็คือมันเป็นความเห็นจากสิ่งที่เป็นจริงๆปกติ
ทราบแล้วใช้ประโยชน์เช่นไร
ในความเป็นจริงแล้ว พวกเราก็เล่าไปในบทความ ฝึกหัดแยกเรื่องจริง รวมทั้งความเห็น เพื่อสร้างคอนเทนต์ที่ดี ไปแล้วว่ามันสำคัญเช่นไร ซึ่งการที่พวกเรารู้เรื่อง Paradox กลุ่มนี้เพิ่ม ก็จะมีผลให้พวกเรามองดูภาพต่างๆออกได้มากขึ้น ในช่วงเวลาที่พวกเราจะเขียนอะไรหรือไปอ่านพบอะไรพวกเราก็จะมี Framework บางอย่างไปจับเพื่อที่จะได้ให้พวกเราชี้แจงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และก็หากพวกเราเป็น Content Creator แล้วพวกเราสามารถนิยามได้ว่าสิ่งที่พวกเราชี้แจงไปเป็นลักษณะของคอนเทนต์แบบใด ก็จะสามารถช่วยให้พวกเราติดต่อสื่อสารได้อย่างมีคุณภาพมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น